“ผิวแห้งขาดน้ำ” ปัญหาผิวที่หลาย ๆ คนกำลังเผชิญและกำลังหาแนวทางเพื่อแก้ไขกันอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งต้องบอกก่อนว่า ดูเผิน ๆ แล้วปัญหานี้ไม่ได้ดูรุนแรงอะไรนัก แต่แท้จริงแล้วสามารถส่งผลกระทบต่อตัวเราได้มากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็น ผิวหน้าดูหมองคล้ำ หน้าไม่สดใส แต่งหน้าไม่ติด หรือแม้แต่เกิดริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังขาดความชุ่มชื้น หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแลอย่างเหมาะสม ปัญหานี้อาจทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ผิวสูญเสียสมดุลและเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้
ผิวแห้งขาดน้ำ เกิดจากอะไร
รักษาด้วยหัตถการไหนจึงจะตอบโจทย์ที่สุด?
แม้จะบำรุงผิวอย่างดี แต่ผิวยังดูแห้งตึง หมองคล้ำ หรือแต่งหน้าไม่ติด? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของ “ผิวขาดน้ำ” ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและแตกต่างจาก “ผิวแห้ง” ทั่วไป ผิวของเราสามารถขาดน้ำได้จากหลายปัจจัย ทั้งสภาพอากาศ พฤติกรรมการดูแลผิว และผลิตภัณฑ์ที่ใช้
ซึ่งหากปล่อยให้ผิวขาดน้ำเป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวอ่อนแอ ระคายเคืองง่าย และเกิดริ้วรอยก่อนวัย ดังนั้น การเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทความนี้ Pattippa Clinc จะพาทุกคนไปรู้จักสาเหตุของผิวขาดน้ำ วิธีสังเกตอาการ และเคล็ดลับฟื้นฟูผิวให้กลับมา ชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง และสุขภาพดีอีกครั้ง ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไร มาติดตามไปพร้อม ๆ กัน

ผิวขาดน้ำ คืออะไร
ผิวขาดน้ำ ไม่ใช่ สภาพผิว แต่เป็น ภาวะผิว (Skin Condition) ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวมัน ผิวผสม หรือผิวแห้ง ปัญหานี้เกิดจาก การสูญเสียน้ำในชั้นผิวหนัง (Epidermis) ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและสมดุล ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และบางครั้งผิวมันขึ้นเพราะร่างกายพยายามผลิตน้ำมันมาทดแทนนั่นเอง
ผิวขาดน้ำ เกิดจาก
สาเหตุนี้ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวขาดน้ำเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวหรือในพื้นที่ที่มีความชื้นต่ำ ซึ่งทำให้ผิวสูญเสียน้ำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานานก็สามารถดึงความชื้นออกจากผิว ทำให้ผิวแห้งตึงและสูญเสียความชุ่มชื้นไปโดยไม่รู้ตัว อีกทั้ง การเผชิญกับแสงแดดและมลภาวะเป็นประจำก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เพราะรังสียูวีสามารถทำลายเกราะป้องกันผิวและเร่งการระเหยของน้ำออกจากผิว ขณะที่ฝุ่น ควัน และมลพิษในอากาศสามารถทำให้ผิวอ่อนแอลงและกักเก็บน้ำได้ไม่ดีนั่นเอง
เช่น การล้างหน้าบ่อยเกินไปหรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสารชำระล้างแรงเกินไปอาจทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวขาดสมดุลและแห้งตึงได้ง่าย บางคนอาจเข้าใจผิดว่าการขัดผิวหรือใช้กรดผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA หรือ Retinol บ่อย ๆ จะช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น แต่หากใช้มากเกินไปก็อาจทำให้ชั้นป้องกันผิวอ่อนแอลงและทำให้ผิวสูญเสียน้ำมากขึ้นเช่นกัน อีกพฤติกรรมหนึ่งที่ส่งผลให้ผิวขาดน้ำคือการไม่ทามอยส์เจอไรเซอร์หลังล้างหน้า แม้ว่าบางคนที่มีผิวมันอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ แต่แท้จริงแล้ว เมื่อผิวขาดน้ำก็จะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นเพื่อชดเชย ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวมันและขาดน้ำไปพร้อมกัน
หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ก็อาจไม่มีน้ำมากพอที่จะช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิว ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำและไม่สดใส นอกจากนี้ การขาดสารอาหารที่มีส่วนช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวก็ส่งผลต่อสุขภาพผิวโดยตรง สารอาหารสำคัญที่ช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้ผิว ได้แก่ โอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ซึ่งพบได้ในปลาแซลมอน อะโวคาโด และถั่วต่าง ๆ สารอาหารเหล่านี้ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวและลดการสูญเสียน้ำ วิตามิน C และ E จากผักและผลไม้สดก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มสารอาหารที่ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำและซ่อมแซมผิวให้แข็งแรงยิ่งขึ้น รวมถึงไฮยาลูรอนิก แอซิดจากแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น กระดูกอ่อนสัตว์และน้ำซุปกระดูก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของผิว
ผิวแห้ง กับ ผิวขาดน้ำ ต่างกันอย่างไร?

ผิวแห้ง (Dry Skin)
ผิวแห้ง คือ “สภาพผิว” ที่ขาดน้ำมันตามธรรมชาติ ทำให้ผิวแห้ง ลอกเป็นขุย และเกิดริ้วรอยง่าย เป็นลักษณะของผิวโดยกำเนิด ที่ต้องการการบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยเติมน้ำมันและเสริมเกราะป้องกันผิว

ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin)
ผิวขาดน้ำ คือ “ภาวะผิว” ที่สูญเสียน้ำในชั้นผิว แม้จะมีน้ำมันอยู่ ผิวจึงดูหมองคล้ำ แต่งหน้าไม่ติด และอาจรู้สึกแห้งตึงเป็นช่วง ๆ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นชั่วคราว และสามารถแก้ไขได้โดยเติมน้ำให้ผิวด้วยสารให้ความชุ่มชื้น (เช่น Hyaluronic Acid) และปรับพฤติกรรมการดูแลผิวก็จะสามารถช่วยให้ดีขึ้นได้
วิธีเช็คว่าผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำ
1. หลังล้างหน้า รอ 5-10 นาที โดยไม่ทาครีมบำรุง
- หากผิวแห้งตึงและลอกเป็นขุย = ผิวแห้ง
- หากผิวตึงและดูหมอง แต่ยังมีน้ำมันที่ทีโซน = ผิวขาดน้ำ
2. ทดสอบด้วยการหนีบผิวเบา ๆ บริเวณแก้มหรือหน้าผาก
- หากผิวยังคงแห้งและหยาบแม้กดแล้ว = ผิวแห้ง
- หากผิวไม่คืนตัวเร็ว มีริ้วเล็ก ๆ ชัดเจน = ผิวขาดน้ำ
3.สังเกตเวลาทารองพื้นหรือแต่งหน้า
- หากแต่งหน้าแล้วเห็นเป็นขุย หรือรู้สึกระคายเคืองง่าย = ผิวแห้ง
- หากรองพื้นตกร่อง แป้งไม่ติดผิว = ผิวขาดน้ำ

ผิวแห้งขาดน้ำ แก้ยังไง มีวิธีไหนบ้าง?
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างสามารถช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้นและสุขภาพดีขึ้นได้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกาย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความชุ่มชื้นของผิว หากร่างกายขาดน้ำ ผิวก็จะแห้งตึงและดูหมองคล้ำ
- เลือกอาหารที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว ผักและผลไม้ที่มีปริมาณน้ำสูง เช่น แตงโม แตงกวา ส้ม และมะเขือเทศ มีส่วนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวจากภายใน รวมถึงอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น เช่น อะโวคาโด แซลมอน และถั่วต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำให้ร่างกายขาดน้ำ แอลกอฮอล์และคาเฟอีนสามารถกระตุ้นให้ร่างกายขับน้ำออกมากขึ้น ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย หากต้องดื่มกาแฟหรือชา ควรดื่มน้ำเปล่าควบคู่ไปด้วย
- ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้อง การอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานานอาจทำให้ผิวสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็ว การใช้เครื่องทำความชื้นจะช่วยรักษาระดับความชุ่มชื้นในอากาศและลดอาการผิวแห้งตึง
เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวนั้นสามารถช่วยฟื้นฟูความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้นได้ ซึ่งทุกคนสามารถพิจารณาการเลือกซื้อจาก..
- เลือกคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสาร SLS (Sodium Lauryl Sulfate) หรือแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันธรรมชาติ ควรเลือกใช้คลีนเซอร์ที่มีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว เพื่อช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้น
- ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีสารกักเก็บน้ำ ส่วนผสมที่ช่วยเติมน้ำและกักเก็บความชุ่มชื้นในผิว เช่น Hyaluronic Acid ซึ่งช่วยดึงน้ำเข้าสู่ชั้นผิว Glycerin และ Panthenol ที่ช่วยลดการสูญเสียน้ำ และ Ceramides ที่เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำรุนแรงหรืออยากเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วขึ้น การทำหัตถการทางการแพทย์สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูสุขภาพผิวได้
- Skin Booster (ฉีดสารเติมความชุ่มชื้น) เป็นการฉีดสารกลุ่ม Hyaluronic Acid เข้าไปในชั้นผิวเพื่อช่วยเติมน้ำโดยตรง ทำให้ผิวอิ่มฟู ดูฉ่ำวาว และลดริ้วรอยตื้น ๆ ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้นในระยะเวลาอันสั้น
- โปรแกรม Mesotherapy (เมโสหน้าใส) เป็นการฉีดสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อผิวเข้าไปโดยตรง เช่น วิตามิน C, กรดอะมิโน และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยให้ผิวแข็งแรงและชุ่มชื้นขึ้น
- โปรแกรม IV Drip (วิตามินผิว) การให้วิตามินผ่านทางสายน้ำเกลือช่วยบำรุงผิวจากภายใน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูความชุ่มชื้นให้ผิวดูเปล่งปลั่งขึ้น
- โปรแกรมเลเซอร์หรือทรีตเมนต์กระตุ้นคอลลาเจน เช่น โปรแกรม Thermage, โปรแกรม Ultherapy หรือ โปรแกรม Pico Laser ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับสมดุลน้ำในผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น
- โปรแกรม HydraFacial ซึ่งเป็นทรีตเมนต์ที่ช่วยทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก พร้อมเติมสารบำรุงที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดความหมองคล้ำ และเพิ่มความสดใสให้กับผิว
ทั้งนี้ การดูแลผิวให้ชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้นนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่การใช้สกินแคร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการเลือกทำหัตถการทางการแพทย์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน การปรับไลฟ์สไตล์ ควบคู่กับการเลือกผลิตภัณฑ์และทรีตเมนต์ที่เหมาะสม จะช่วยให้ผิวของทุกคนกลับมาสุขภาพดีและดูอิ่มน้ำได้ในระยะยาว
